ياأيها الرسول بلغ ما أنزل إليك من ربك وإن لم تفعل فما بلغت
رسالته والله يعصمك من الناس إن الله لا يهدي القوم الكافرين
รอซูลลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)…
فقال : من كنت مولاه فهذا علي مولاه
اَللّٰهُمَّ وَ آلِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ
وَانْصُرْ مَنْ نَصَرَهٗ وَاخْذُلْ مَنْ خَذَلَهٗ
อัลฮัมดุลิลลาฮฺฯ….ขอชูโกรในเนี๊ยะมัตและเตาฟีกที่ได้รับการประทานจากเอกองค์อัลลอฮ์ (ซบ) ขอแสดงความยินดี ในวาระแห่งความบารอกัตของวันอีดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสลาม อีดที่ถูกขนานนามว่า เป็นอีดแห่ง “อาลีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)” อีดที่ยิ่งใหญ่จากทุกๆอีดที่มีมาในอิสลาม นั่นก็คืออีดแห่งวันที่ศาสนาของอัลลอฮฺ(ซบ)สมบูรณ์ เพราะในวันนี้ในอดีตนั้น เป็นวันที่อัลลอฮฺ (ซบ)ได้ประทับตรารับรองอิสลามฉบับสมบูรณ์ ให้เป็นศาสนาแก่มวลมนุษยชาติได้ยึดถือและปฏิบัติจวบถึงวันกิยามะฮฺ
อีดุลฆอดีร มีรายละเอียด มีนัยยะต่างๆอย่างมากมายที่ควรค้นคว้าศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมจากตำรับตำราต่างๆ….. มีมุมมองที่ควรแก่การศึกษา…… มีปมปัญหาที่จะต้องศึกษาแล้วก็ทำความเข้าใจในเรื่องราวแห่งอีดุลฆอดีร อีดที่อัลลอฮฺ (ซบ)มีความภาคภูมิใจอย่างมาก อีดที่จะเป็นหลักประกันอันยิ่งใหญ่ เพราะถ้าสถานการณ์ในวันนี้ได้ถูกยึดถือและปฏิบัติอย่างแท้จริง ก็จะไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับศาสนาอิสลาม จะไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับมวลอุมมัตอิสลาม จะไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของอิสลาม อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลามก็คือ โลกทั้งโลกนี้อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม นั้นคืออาณาจักรของอิสลาม ซึ่งอาณาจักรที่แท้จริงที่สมบูรณ์ ที่ยิ่งใหญ่ของอิสลามนั้นไม่มีพรมแดน ไม่มีเขตแดน ไม่มีชื่อประเทศหนึ่งประเทศใด อาณาจักรอิสลามนั้นโลกทั้งโลกต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรนี้ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อมวลมนุษยชาติ และปวงผู้ศรัทธาเข้าใจเรื่องราวแห่งฆอดีรคุม เข้าใจสาส์นแห่งฆอดีรคุม
ฆอดีรคุม คือ วันที่อัลลอฮฺ(ซบ) ทรงประทานโองการก่อนโองการสุดท้าย บังคับให้ทำงานชิ้นหนึ่ง บังคับให้ประกาศ สาสน์ๆหนึ่ง และปรากฏว่างานที่อัลลอฮฺบังคับให้นบีทำในวันนี้ คือ การแต่งตั้งอะลี อิบนิ อาบีฏอลิบ เป็นทายาทการปกครองของท่าน เป็นวะศีย์ของท่าน ถ้าจะเอาภาษาที่เป็นทางการโดยตรง ตำแหน่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ การเป็นวะศีย์ ผู้สืบทอดหน้าที่ของศาสดา ไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งของศาสดา เพราะตำแหน่งของศาสดานั้นสืบทอดกันไม่ได้ แต่สืบทอดหน้าที่ของศาสดาอย่างเป็นทางการนั้นคือวะศีย์ ทุกๆนบีมีวะศีย์ ดังนั้นจึงเป็นวันที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ประกาศผู้สืบทอดอำนาจของท่าน ผู้สืบทอดหน้าที่ของท่าน ผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองมวลมุสลิมหรือผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองมวลมนุษยชาติหลังจากท่าน นี่คือ ภารกิจอันแรกในวันแห่งฆอดีรคุม
เมื่อสิ่งนี้ได้ถูกประกาศด้วยคำประกาศที่ยิ่งใหญ่ที่เด่นชัด ที่เข้าใจง่าย และเกือบจะไม่ต้องทำการอธิบายหรือตัฟซีรใดๆ เพราะก่อนหน้าที่จะประกาศประโยคที่สำคัญอันนี้ ท่านก็ได้ทำการตรวจสอบความเข้าใจของประชาชาติในยุคนั้น ความเข้าใจของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับอิสลาม ความเข้าใจของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของนบี อำนาจของศาสดา บทบาทของการเป็นผู้นำของศาสดา อำนาจที่อยู่เหนือชีวิตของพวกเขา และเมื่อได้รับคำยืนยันจากพวกเขาเหล่านั้นว่า เขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี (อะลัสตุ เอาลาบีกุม มินอันฟูสิกุม) เป็นคำหนึ่งที่มีบันทึกไว้ในเกือบทุกสายสาขาว่า เป็นคำพูดของศาสดาก่อนที่จะประกาศประโยคสำคัญ (อะลัสตุบีคอยรีกุม มินอันฟูสิกุม…อะลัสตุเอาลาดีกุมมีนอันฟูสิกุม) มีการรายงานด้วยรูปประโยคต่างๆ ซึ่งสรุปแล้ว นบีได้ถามว่า ฉันคือผู้ที่มีอำนาจเหนือพวกเจ้า แม้แต่ตัวของเจ้าเองใช่ไหม? ฉันคือเจ้าชีวิตของพวกเจ้าใช่ไหม ? ฉันคือผู้นำของพวกเจ้าใช่ไหม ? ฉันคือผู้ที่สั่งเป็นสั่งตายบนตัวของพวกเจ้าได้ใช่ไหม ? ทำการทดสอบ ก่อนที่จะประกาศประโยคที่ยิ่งใหญ่ ฉันใช่ไหมคือเจ้าชีวิตของพวกเจ้าคือ (เอาลาบีกุม มินอันฟูสิกุม) เหนือพวกเจ้า แม้แต่กับตัวของพวกเจ้าเองใช่ไหม ?
และเสียงตอบทั้งหมดก็บอกว่า “ใช่แล้วๆ โอ้ศาสดาแห่งอัลลอฮฺ” เมื่อรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ) มีความมั่นใจว่า ทุกคนเข้าใจในสถานภาพของศาสดา ในสถานภาพการเป็นผู้นำของศาสดา และเข้าใจสถานภาพของตัวเองที่มีต่อศาสดา รอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ) ก็ประกาศว่าดังนั้น เมื่อเจ้าเข้าใจทั้งหมด (ฟะมันกุนตุม เมาลาฮุ ฟะฮาซา อะลียุนเมาลา) มีมากมายหลายประโยคที่รายงานมา แต่ประโยคที่ดีสุดคือ (ฟะมันกุนตู เมาลาฮุ)… ใครก็ตามที่ฉันเป็นเมาลาของพวกเขา (ฟะฮาซา อะลียุนเมาลา)…ดังนั้นอะลีคนนี้ ((พร้อมกับยกมือชูขึ้นมา)) คือเมาลาหลังจากฉัน อะลีก็คือเมาลาของพวกเขาด้วย ไม่มีอะไรที่จะมาสร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้น ถ้าเราเข้าสู่รายละเอียด ท่ามกลางแดดที่แผดเผาในยามเที่ยง เวลาซุฮรีของประเทศอาหรับ กลางทะเลทราย มีการแจ้งข่าวให้กับกองคาราวานที่รุดไปข้างหน้าแล้ว เรียกให้กลับมา กองคาราวานที่ล้าหลัง ยังช้าอยู่ สั่งให้เร่งขึ้นมา มีหลายองค์ประกอบต่างๆมากมาย ที่จะยืนยันว่าคำประกาศอันนี้ กำลังหมายถึงสิ่งใด ? จะให้ความหมายเหมือนกับที่บรรดาผู้บิดเบือนทั้งหลายพยายามที่จะบิดเบือนกระนั้นหรือ ? แน่นอน ถ้ามนุษย์ศึกษาด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ด้วยหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยหัวใจที่แสวงหาความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ) อย่างแท้จริง นับถือศาสนาตามที่อัลลอฮฺ (ซบ) อยากจะให้นับถือ ไม่ใช่นับถือศาสนาตามที่เราอยากจะนับถือแล้วนั้น บทสรุปตรงนี้ก็คือว่า วันนี้คือวันที่รอซูล (ศ็อลฯ) ประกาศ ถ้าเราพินิจใคร่ครวญ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ประโยคหนึ่งซึ่งอยู่ในโองการนี้บอกว่า ถ้าไม่ประกาศสิ่งนี้ เหมือนกับเจ้าไม่ได้ประกาศสิ่งใดเลย ดังนั้นเมื่อรอซูล (ศ็อลฯ)ได้ประกาศทายาทแห่งอำนาจ ผู้ที่จะมาสืบทอด วิลายัตจากท่าน แล้วอีกโองการหนึ่งก็ลงมาซึ่ง อุลามาอฺทั้งหมดสรุปว่า นี่คือโองการสุดท้ายของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน (อัลเยามาอีซัลละซีกอรูน มินดีนิกุม ฟะลาตัคเชาฮุมวัคเชานี) ก่อนที่จะลงอายัต (อัลเยาอัคมันตุลากุม…)
วันนี้ บรรดาผู้ปฏิเสธนั้นได้สิ้นหวังแล้วจากศาสนาของเจ้า ดังนั้นไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกต่อไป การประกาศในวันนี้ เป็นหลักประกันแล้วว่า ศาสนานี้จะอยู่ตลอดไปถึงวันกิยามัต ศาสนานี้จะไม่ถูกบิดเบือนจนความจริงนั้นได้สูญหายไปกับหน้าประวัติศาสตร์ จนความจริงนั้นเกือบจะหาไม่พบ เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นกับศาสนาอื่นๆก่อนหน้านี้ ถ้าเรายกตัวอย่างศาสนาที่ถือว่า เป็น “ศาสนาจากฟ้ากฟ้า” ศาสนาที่อัลลอฮฺ (ซบ) ประทานลงมาอย่างเช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนายิว นั้นได้ถูกบิดเบือนจนกระทั่งวันนี้ก็จะกลับไปหาคำสั่งสอนที่บริสุทธิ์ของนบีมูซา (อ) ไม่ได้อีกแล้ว เอาแบบบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีอะไรเจือปน หาไม่ได้แล้ว วันนี้ถ้าจะกลับไปเอาคำสั่งสอนที่บริสุทธิ์ที่ท่านนบีอีซา (อ)สอนไว้ก็หาไม่ได้แล้ว เพราะการบิดเบือนนั้น เราเกือบจะไม่พบสัจธรรมกับศาสนานั้นแล้ว และยิ่งอิสลามของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เป็นศาสนาสุดท้าย หลังจากนี้ไม่มีศาสดาแล้ว มันจะต้องมีหลักประกันที่แน่นอน ที่มั่นคง ที่ดีเลิศ ที่ดีเยี่ยม ว่าชะตากรรมของศาสนาที่ท่านนบี (ศ็อลฯ)ของเรานำมานั้น จะต้องไม่มีชะตากรรมเดียวกันกับทุกๆศาสนาของอัลลอฮฺ(ซบ) ที่เคยถูกกระทำ
ยิวคือศาสนาของอัลลอฮฺ ยิวหมายถึงศาสนา ไม่ได้หมายถึงบุคคล คริสต์ก็คือศาสนาของอัลลอฮฺ แล้วก็อีกหลายๆศาสนาที่เป็นศาสนาของอัลลอฮฺ(ซบ) การที่เรายกเป็นตัวอย่างเพียงสองชื่อที่ชัดแจ้ง ที่ประทานลงมาให้กับมนุษย์ ศาสนาที่บริสุทธิ์คือศาสนาที่สั่งสอนโดยบรรดาศาสดาของพระองค์
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ศาสนาต่างๆเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกบิดเบือน จนกลายเป็นศาสนาที่ไม่ตรงกับพระประสงค์ของอัลลอฮฺ (ซบ) แต่ก็ยังไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ ศาสนาก่อนหน้านี้ เมื่อศาสนาหนึ่งศาสนาใดถูกบิดเบือน อัลลอฮฺ (ซบ)ก็จะส่งศาสดาองค์ใหม่มา เพื่อทำการแก้ไขปรับปรุง นำสิ่งที่แปลกปลอมออกไป นำคำสั่งสอนที่บริสุทธิ์กลับมา ศาสดาในแต่ละยุค แต่ละสมัยมาเพื่อที่จะทำการอิศละฮ์ศาสนาของอัลลอฮฺ (ซบ)ที่ถูกบิดเบือน ปฏิวัติและปฏิรูปคำสั่งสอนที่ถูกบิดเบือนโดยบรรดาบุคคลที่ฉ้อฉลต่างๆ การบิดเบือนศาสนาก่อนหน้านี้ ถึงแม้มันจะเป็นอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่ามันจะมีความผิดบาป แต่ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับศาสนาสุดท้ายศาสนาของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) นำมา จะต้องสร้างหลักประกันอันหนึ่งว่าศาสนาสุดท้ายนี้จะต้องไม่ถูกทำให้เสียหาย เหมือนกับทุกๆศาสนาที่เคยผ่านมา
หลักประกันที่ดีที่สุดที่อัลลอฮฺ (ซบ) ทรงเลือก หลักประกันที่จะสร้างความมั่นใจที่ดีที่สุดก็คือ เหตุการณ์ในวันนี้ สาส์นในวันนี้ การส่งมอบวิลายัตแห่งการปกครองของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ไปยังระบบใหม่ ระบบการปกครองใหม่ ซึ่งไม่เคยปรากฏก่อนหน้านี้ โครงสร้างใหม่ของการดูแลศาสนาของอัลลอฮฺ (ซบ) จึงได้ถูกสถาปนาขึ้น นั้นก็คือ ระบอบนะบูวัต ถูกทดแทนขึ้นด้วย ระบอบอิมามัต อัลลอฮฺ (ซบ) ทรงกล่าวในเมื่อไม่มีศาสดาต่อไปแล้วหลังจากท่านนบีมุฮัมมัด(ซล) อัลลอฮฺก็จึงได้สถาปนาระบอบใหม่ขึ้นมา เพื่อที่จะปกปักษ์พิทักษ์ศาสนาของพระองค์ให้สะอาดบริสุทธิ์จนถึงวันกิยามัต คือให้ศาสนาอิสลามที่สะอาดบริสุทธิ์คงอยู่ จะมีคนนับถือ ไม่มีคนนับถือ จะมีคนนับถือมากหรือจะมีคนนับถือน้อย อัลลอฮฺ (ซบ) ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ นี่คือหลักสำคัญ คือให้ศาสนาบริสุทธิ์ดำรงอยู่จนถึงวันกิยามัต มนุษย์จะนับถือหรือจะไม่นับถือไม่สำคัญสำหรับพระองค์ อันนี้พระองค์ยืนยันเอง เราต้องทำความเข้าใจ เราต้องรู้จักอัลลอฮฺ (ซบ)ให้ดีกว่านี้
ในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮฺ ท่านอิมามอะลี (อ)กล่าวว่า ถ้ามนุษย์ทั้งโลกสูญูด… ภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซบ) หมายความว่าทั้ง อาลัมไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ) ไม่ได้ทำให้อัลลอฮฺ (ซบ) สูงส่งขึ้น แม้แต่เพียงนิดเดียว หรือหากทั้งหมดรวมตัวกันกบฏต่ออัลลอฮฺ (ซบ) ทั้งมนุษย์ทั้งโลก ทั้งมนุษย์ และญิน กบฏต่ออัลลอฮฺ (ซบ) ไม่เคารพ ไม่ภักดี ไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติอะไร ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็น อัลลอฮฺ (ซบ) ต่ำลงมาแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวธุลี
อิมามอะลี (อ) กล่าวว่า ในตอนที่สร้างสรรพสิ่งทั้งหมดนั้น มันไม่ได้มีความจำเป็นต่อพระองค์เลย บางครั้งมนุษย์หรือสิ่งอื่นๆ ถ้าทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมาเพราะมีความจำเป็นต่อสิ่งนั้น ความจำเป็นในมุมไหนก็แล้วแต่ แต่ในขณะที่ อัลลอฮฺ (ซบ) สร้างสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงเพียงพอ ไม่ได้มีความจำเป็น ดังนั้นมนุษย์ทั้งโลกจะเคารพภักดี หรือมนุษย์ทั้งโลกจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการสั่นคลอน ไม่มีการสั่นไหว ไม่ได้ลดตำแหน่งและไม่ได้เพิ่มตำแหน่งของพระองค์ พระองค์ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่อยู่เหมือนเดิม เราต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน เดี๋ยวจะเผลอตัวคิดว่าเรามีบุญคุณต่ออัลลอฮฺ (ซบ) ถ้าเรานมาซ เราปฏิบัติศาสนา เราบริจาค เราพลีชีพ กลายเป็นบุญคุณหรือไม่ ? ไม่เลย!!! อัลลอฮฺ (ซบ) ไม่ได้มีความจำเป็นในสิ่งต่างๆเหล่านี้ของเรา สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เราทำทั้งหมดเพื่อตัวของเราเอง
ศาสนาที่บริสุทธิ์จะต้องคงอยู่จวบถึงวันกิยามัต มนุษย์จะนับถือ ไม่นับถือ ไม่ได้มีความ หมายใดๆ คนจะนับถือมาก คนจะนับถือน้อยไม่มีความหมายใดๆ สำหรับ อัลลอฮฺ(ซบ) ศาสนาของคนส่วนมาก ศาสนาของคนส่วนน้อย เราตั้งขึ้นมาเอง สำหรับ อัลลอฮฺ(ซบ)ไม่มี……!!!
สมัยของท่านนบีนุฮฺ (อ ) อัลลอฮฺ (ซบ) ปล่อยเวลาหลายร้อยปี อัลลอฮฺ(ซบ)ไม่ได้สนใจ บางยุคบางสมัยมีคนนับถือศาสนาของอัลลอฮฺ (ซบ) แค่ 8 คน และปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี และแล้วอัลลอฮฺ (ซบ)ก็ทำลายล้างครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อระบอบนี้ถูกสถาปนา ระบอบอิมามัตถูกนำมาทดแทนระบอบนะบูวัต ระบอบอิมามัตเป็นระบอบเดียวที่จะเป็นหลักประกันว่า ศาสนานี้ยังคงอยู่ และแน่นอน ถ้าศาสนาบริสุทธิ์ยังคงอยู่ ความยิ่งใหญ่ของมันก็ยังคงอยู่ ดังนั้นท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)ถึงได้มอบอำนาจของท่านไปสู่อีกระบบหนึ่ง มอบอำนาจของท่านก็คือ มอบวิลายัตของท่าน ไปยังโครงสร้างใหม่ที่อัลลอฮฺ (ซบ) ได้สถาปนาขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นหลักประกันว่า ศาสนาอันบริสุทธิ์นี้จะต้องคงอยู่ถึงวันกิยามัต และตัวแทนที่รับมอบคนแรกในระบบอันนี้ก็คือ อะลี อิบนิ อาบีฏอลิบ ท่านอิมามอะลี (อ) คือผู้รับมอบอำนาจนี้ ผู้รับมอบวิลายัตนี้ อำนาจแห่งการปกครอง อำนาจที่จะต้องมาจากพระเจ้า
ติดตามอ่านต่อ อีดวิลายัต… วันแห่งการประกาศผู้สืบทอดอำนาจ (ตอนที่2)